วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

Gioachino Rossini

Gioachino Antonio Rossini เป็นนักประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียน เกิดเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1792 และเสียชีวิตลงเมื่อ วันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ.1868 Rossini เป็นผู้ที่โดดเด่นทางด้านการแต่งเพลงโอเปรา Rossini ได้เขียนโอเปราไว้ถึง 39 ชิ้น ผลงานขิ้นอื่นๆของเขาก็โดดเด่นไม่แพ้กันไม่ว่าจะเป็น sacred music, chamber music, เพลงทั่วไป, และดนตรีบรรเลง รวมไปถึงงานประพันธ์สำหรับเปียโน ผลงานที่โดดเด่นของเขาได้แก่งานโอเปราที่มีชื่อว่า barbiere di Siviglia (The Barber of Seville), La Cenerentola, La gazza ladra (The Thieving Magpie) และ Guillaume Tell (William Tell) เขาได้ชื่อว่าเป็นโมสาร์ทแห่งอิตาลี (Italian Mozart) เนื่องจากเขามีแรงบันดาลใจและแนวคิดที่ดีเยี่ยมในการแต่งโอเปรา แต่โอเปราที่เขาแต่งนั้นมักจะนำเสนอทางด้านวัฒนธรรมและสังคม ซึ่งเขาสามารถตีแผ่ได้อย่างชัดเจนและดีเยี่ยม เขาได้วางมือในการเขียนโอเปราเมื่อ ค.ศ.1829

ความเป็นมาในชีวิตของเขาก็น่าสนใจเช่นกัน Rossini เกิดในตระกูลที่เป็นนักดนตรี ในเมือง Pesaro บิดาของเขามีชื่อว่า Giuseppe เป็นนักดนตรี ทำหน้าที่เป่า Horn และก็ยังมีอาชีพเป็นคนเฝ้าโรงงานฆ่าสัตว์ แม่ของเขาชื่อว่า Anna เป็นนักร้องโอเปรา โดยพ่อและแม่ของ Rossini ได้สอนดนตรีแก่ Rossini ตั้งแต่เขายังอายุเพียง 6 ขวบเท่านั้นและเขาก็ได้เล่น Triangle ในวงของพ่อเขาตั้งแต่เขายัง 6 ขวบเช่นกัน เรียกได้ว่าเขาได้มีประสบการณ์อยู่ในวงโอเปราตั้งแต่ยังเด็ก จึงสามารถเข้าในท่อนเพลง ฯลฯ ได้เป็นอย่างดี เพราะเขาก็เป็นผู้ร่วมบรรเลงในวงนั้นด้วย

เมื่อปี ค.ศ.1796 ปีกองกำลังทหารของประเทศออสเตรีย (Austria) ได้อพยพมาอาศัยอยู่ทางเหนือของอิลาตี พ่อของ Rossini ให้ที่พักพิงแก่แหล่าทหาร สุดท้ายก็โดนจับติดคุก แม่ของ Rossini และตัวเขาเองก็ได้อพยพไปอยู่ที่ Bologna และตระเวนแสดงละครและร้องเพลงตามโรงละครต่างๆ หลังจากพ่อของเขาได้ถูกปล่อยตัว ก็ได้ตามมาอยู่กันพร้อมหน้า แต่เนื่องด้วยย่าของ Rossini เป็นผู้เลี้ยงดูเขามา เมื่อหาเงินมาได้ก็จะถูกย่าเก็บไว้เกือบทุกครั้ง

Rossini ได้ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่ที่นั่นมาระยะหนึ่ง แต่ช่วงที่อยู่ที่ Bologna เขาก็ได้รับการอุปถัมภ์จากพ่อค้าขายหมู จวบจนที่พ่อและแม่ของเขาได้ร่วมแสดงดนตรีในวง Orchestra เขาก็เริ่มสนิทสนมกับคนในวงโดย Giuseppe Prinetti ผู้เล่น Harpsichord ที่มีชื่อเสียงในเมือง Novara เป็นผู้ที่เล่นแบบแปลกๆเพราะว่าใช้เพียง 2 นิ้วในการดีดเท่านั้น นอกจากนั้น Prinetti ยังเป็นพ่อค้าขายเบียร์ทำให้เขาเมาอยู่ตลอดเวลาแม้เวลาเล่นก็ตาม แต่ Prinetti ก็สอน Harpsichord แก่ Rossini ด้วยความเอ็นดู แต่ Rossini ก็ถูกลูกศิษย์ของ Prinetti ดูถูกอยู่ตลอดเวลา

ในด้านการศึกษาของเขา Rossini ได้ติดตาม Pinetti มาโดยตลอด จนเขามีความสามารถมากขึ้นเขาก็ได้มาเรียนการรร้องโน้ตกับ Angelo Tesei ตอนนั้น Rossini มีอายุเพียง 10 ปี เท่านั้น เขาได้เล่นเปียโนอยู่ในวง Orchestra และนอกจากนั้นเขาสามารถแต่งเพลง Sonata ได้ภายใน 3 วัน เขาแต่งเพลง Sonata สำหรับ Violin, Cello และ Double Bass อีกด้วย (String Sonata) โดยผลงานทั้งหมดของเขาได้ถูกเก็บไว้ในห้องสมุด แห่งสภาคองเกรส แห่งเมืองวอชิงตันดีซี (The Librara of Congress in Washington D.C.) ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งระบุไว้ว่าเป็นปี ค.ศ.1804

เมื่อเขาอายุได้ 12 ปีเขาก็ได้เป็นผู้เรียบเรียง เพลงสำหรับ Orchestra และเขามีจุดเด่นในการใช้จังหวะที่ซับซ้อน และมีเมโลดี้ที่ชัดเจน โดยเพลงที่เขาทำมักจะวนเป็นลูป (Loop) แล้วใช้การเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นๆ เป็นต้น นอกจากนั้นเขาก็ยังเป็นนักร้องอยู่ในวงอีกด้วย

ในปี ค.ศ.1805 เขาได้เรียน Cello ในสถาบันแห่งหนึ่งในเมือง Bologna และหลังจากนั้นก็เขาได้แสดงที่โรงละคร Ferdinando Paer เขาโดยเขาเป็นนักร้อง และในเวลานั้นเองเขาได้แต่งโอเปราเรื่องแรกโดยมีผู้แต่งคำร้องชื่อว่า Vincenza Mombelli โอเปราเรื่องนั้นมีชื่อว่า Demetrio e Polibio และหลังจากนั้นเขาก็มีงานโอเปราออกมา 13 14 ชิ้นด้วยกันจากช่วงในเวลานั้นจนเขาอายุ 20 ปี เขาก็ได้เป็นผู้ควบคุมวงโอเปรา ถือว่าเขาได้เดินตามแนวทางของพ่อเขาได้อย่างดีเยี่ยม จนเขามีผลงานโปราออกมาอย่างมากมายและเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย

จากผลงานของ Rossini นั้นได้ถูกนำมากล่าวถึงกันอีกครั้งในช่วงกลาง ศตวรรษที่ 20 ในเรื่องของ Bel Canto ในบั้นปลายของ Rossini นั้นเขามีทรัพย์สอนและที่ดินมูลค่าถึง 2.5 ล้านฟรังก์ (Francs) นับเป็นมูลค่าประมาณ 1.4 ล้านดอลล่า (Dollars) สหรัฐอเมริกา ก่อนที่เขาจะเสียงชีวิตลงในปี ค.ศ.1868 นับว่าชีวิตของเขาประสบความสำเร็จในวงการโอเปรา และถือได้ว่าเขาเป็นตำนานที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ในฐานะผู้ประพันธ์โอเปราผู้ยิ่งใหญ่

Alessandro Scarlatti



Alessandro Scarlatti เป็นนักประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียน ในยุคบาโรค (Baroque) เกิดเมื่อวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ.1660 และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ.1725 (มีอายุ 65 ปี) มีชื่อเสียงทางด้านการแต่งเพลง Opera และเพลง Chamber Cantatas และเขายังเป็นบุคคลสำคัญที่ก่อตั้งโรงเรียนสอนโอเปราที่มีชื่อว่า Neapolitan School of Opera และเขาก็มีลูกชายที่เป็นนักประพันธ์เพลงถึง 2 คนคือ Domenico Scarlatti และ Pietro Filippo Scarlatti


Alessandro Scarlatti เกิดในเมือง Palermo ซึ่งหลังจากนั้นกลายเป็น Kingdom of Sicily ตัวของเขาเองบอกว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของ Giacomo Carissimi ในกรุงโรม ซึ่งสามารถคาดเดาได้ว่าเขาได้รับอิทธิพลจากดนตรีทางตอนเหนือของอิตาลี เนื่องจากเพลงของเขาได้รับอิทธิพลจาก 2 นักแต่งเพลงคือ Stradella และ Legrenzi เห็นได้ชัดจากผลงานโอเปราของเขาเรื่อง Gli Equivoci nell sembiante ในปี ค.ศ.1679 ซึ่งผลงานชิ้นนี้ทำให้เขาได้เงินรางวัลจากราชินี Christina ของประเทศสวีเดน ซึ่งได้รับชมตอนท่านทรงเสด็จมาเยือนกรุงโรมอีกด้วย และหลังจากนั้นราชินีก็ได้ทรงว่าจ้างเขาเป็นนักแต่งโอเปราประจำพระองค์ (Maestro di Cappella)


ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1684 เขาก็ได้เป็นนักแต่งโอเปราของราชวงศ์หนึ่งชื่อว่า Viceroy แห่ง Naples ที่กล่าวมานั้นจะสังเกตุได้ว่าเขาได้เข้าใกล้กับราชวงศ์ที่สูงศักดิ์ อาจเป็นเพราะว่าน้องสาวของเขาซึ่งเป็นนักร้องโอเปรา เป็นภรรยาลับของคนในวังในสมัยนั้นก็เป็นได้ทำให้เขาได้มีโอกาสได้นำโอเปราไปแสดงในวัง


ในปี ค.ศ.1702 Scarlatti ได้ย้ายไปที่ Naples และไม่กลับมายังบ้านเกิดอีกเลยจนกระทั่งประเทศสเปนโดนยึดอำนาจโดยชาวออสเตรียน (Austrian) โดยเขาใช้ชีวิตอย่างไม่ยากลำบากในฐานะที่ถูกแต่งตั้งขึ้นคือ Ferdinando de’ Medici โดยเขาได้ทำหน้าที่แต่งโอเปราเพื่อแสดงที่โรงละครใกล้ๆเมือง Florence และนอกจากนั้นเขายังได้แต่งเพลง maestro di cappella โดยมีความคล้ายคลึงกับเพลง Basilica di Santa Maria Maggiore ที่แต่งไว้ในโรม เมื่อปี ค.ศ.1703


หลังจากที่เขาได้เดินทางไปยังเมือง Venice และ Urbino ในปี ค.ศ.1707 เขาก็ได้กลับไปทำงานด้านดนตรีที่ Naples อีกครั้งในปี ค.ศ.1708 และอยู่ที่นั่นจนถึงปี ค.ศ.1717 โดยที่ Naples เริ่มที่จะเบื่องานของเขาแล้ว ด้วยความที่เขาคิดถึงบ้านเกิดเขาก็ได้แต่งเพลงโอเปราขึ้น ชื่อว่า La Griselda ในปี ค.ศ.1721 เป็นที่รู้จักกันดีในเพลงชั้นสูงในหมู่เพลงโบสถ์ (Church Music) และเขาก็ยังแต่งเพลงประเภทเพลง Mass สำหรับวง Chorus และวง Orchestra โดยได้แต่งเพื่อสดุดีต่อ Saint Cecilia และสำหรับ Cardinal Acquaviva ในปี ค.ศ.1721 ผลงานชิ้นสุดท้ายของเขาเป็นงานชิ้นใหญ่มาก มีชื่อว่า Serenata แต่งเพื่อเฉลิมฉลองในพิธีแต่งงานของเจ้าชายแห่ง Stigliano ในปี ค.ศ.1723 แต่เขาก็ยังแต่งไม่สมบูรณ์โดยเขาเสียชีวิตลงก่อนที่ Naples


ดนตรีของ Scarlatti นั้นเป็นส่วนสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างยุคก่อนยุคบาโรค (Baroque) โดยเป็นเพลงร้องในศตวรรษที่ 17 กับ ดนตรีในใจกลางของ Florence, Venice และ Rome โดยดนตรีของเขาได้ถูกพัฒนาให้ถึงขั้นสูงสุดโดยนักประพันธ์เพลงในยุคคลาสสิคคือ Mozart โดยผลงานของ Scarlatti ที่เป็นโอเปราในช่วงแรกๆนั้นเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก เช่นเรื่อง Gli equivoci nel sembiante ในปีค.ศ.1679, เรื่อง L’honestà negli amori ในปีค.ศ.1680โดยจะรู้จักกันดีในชื่อ Già il sole dal Gange, เรื่อง Il Pompeo .ในปีค.ศ.1683 ที่รู้จักกันดีในชื่อ "O cessate di piagarmi" และเรื่องToglietemi la vita ancor และทั้งหมดนั้นก็เริ่มจืดจางลงเมื่อปี ค.ศ.1685 แต่เพลงของเขาก็ยังคงถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี


ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1697 เขาก็แต่งโอเปราเรื่อง La caduta del Decemviri โดยเขาได้แต่งเนื้อเรื่องเกี่ยวกับทางด้านการว่าความในศาล และก็ยังจะแต่งเรื่องอื่นๆที่สื่อถึงวัฒนธรรมทางสังคมอีกมากมาย ดนตรีของเขาในช่วงปี ค.ศ.1700 ก็เริ่มมีการใช้เครื่องดนตรี Oboes และ Trumpets เป็นจำนวนมาก และ Violins เขาก็มักแต่งให้เล่นพร้อมๆกัน (Unison) ซึ่งผลงานโอเปราชิ้นที่เขาชอบคือชิ้นที่แต่งให้เจ้าชาย Ferdinando de’ Medici โดยเขารู้จักกับเจ้าชายเนื่องจากเป็นเพื่อนที่ติดต่อกันทางจดหมายและหลังจากผลงานชิ้นนั้นเขาก็เริ่มแสดงถึงความสามารถในการประพัน์เพลงขั้นสูงขึ้นไปอีก โดยอาศัยแรงบันดาลใจและสัญชาตญาณ

เพลงของเขาได้รับความนิยมอย่างมาก ภายหลังเพลง Mass ของเขาก็เริ่มจางหายลงไป แต่เขาก็เคยแต่งเพลง Mass ไว้ถึง 200 กว่าชิ้น โดยชิ้นที่ดีที่สุดคือ St Cecilia Mass ที่แต่งขึ้นในปี ค.ศ.1721 ซึ่งผลงานชิ้นนี้จะเป็นส่วนสำคัญในแนวคิดที่อยู่ในเพลงของ Johann Sebastian Bach และ Beethoven ไม่ใช่ว่าดนตรีที่เป็นเพลงร้องของเขาที่ได้รับความนิยมเท่านั้น ดนตรีประเภทบรรเลง (Instrumental Music) ก็เป็นที่น่าสนใจด้วยเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นเพลงที่ฟังแล้วเป็นแบบยุคเก่า แต่ภายนั้นมีอะไรบางอย่างที่แปลกใหม่เมื่อเทียบกับดนตรีในยุคนั้น นับได้ว่าเขาเป็นแบบอย่างที่ดีในการประพันธ์เพลงโอเปรา และผลงานของเขาก็ส่งผลต่อนักดนตรีในปัจจุบันมากมาย

Alessandro Scarlatti เป็นนักประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียน ในยุคบาโรค (Baroque) เกิดเมื่อวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ.1660 และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ.1725 (มีอายุ 65 ปี) มีชื่อเสียงทางด้านการแต่งเพลง Opera และเพลง Chamber Cantatas และเขายังเป็นบุคคลสำคัญที่ก่อตั้งโรงเรียนสอนโอเปราที่มีชื่อว่า Neapolitan School of Opera และเขาก็มีลูกชายที่เป็นนักประพันธ์เพลงถึง 2 คนคือ Domenico Scarlatti และ Pietro Filippo Scarlatti


Alessandro Scarlatti เกิดในเมือง Palermo ซึ่งหลังจากนั้นกลายเป็น Kingdom of Sicily ตัวของเขาเองบอกว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของ Giacomo Carissimi ในกรุงโรม ซึ่งสามารถคาดเดาได้ว่าเขาได้รับอิทธิพลจากดนตรีทางตอนเหนือของอิตาลี เนื่องจากเพลงของเขาได้รับอิทธิพลจาก 2 นักแต่งเพลงคือ Stradella และ Legrenzi เห็นได้ชัดจากผลงานโอเปราของเขาเรื่อง Gli Equivoci nell sembiante ในปี ค.ศ.1679 ซึ่งผลงานชิ้นนี้ทำให้เขาได้เงินรางวัลจากราชินี Christina ของประเทศสวีเดน ซึ่งได้รับชมตอนท่านทรงเสด็จมาเยือนกรุงโรมอีกด้วย และหลังจากนั้นราชินีก็ได้ทรงว่าจ้างเขาเป็นนักแต่งโอเปราประจำพระองค์ (Maestro di Cappella)


ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1684 เขาก็ได้เป็นนักแต่งโอเปราของราชวงศ์หนึ่งชื่อว่า Viceroy แห่ง Naples ที่กล่าวมานั้นจะสังเกตุได้ว่าเขาได้เข้าใกล้กับราชวงศ์ที่สูงศักดิ์ อาจเป็นเพราะว่าน้องสาวของเขาซึ่งเป็นนักร้องโอเปรา เป็นภรรยาลับของคนในวังในสมัยนั้นก็เป็นได้ทำให้เขาได้มีโอกาสได้นำโอเปราไปแสดงในวัง


ในปี ค.ศ.1702 Scarlatti ได้ย้ายไปที่ Naples และไม่กลับมายังบ้านเกิดอีกเลยจนกระทั่งประเทศสเปนโดนยึดอำนาจโดยชาวออสเตรียน (Austrian) โดยเขาใช้ชีวิตอย่างไม่ยากลำบากในฐานะที่ถูกแต่งตั้งขึ้นคือ Ferdinando de’ Medici โดยเขาได้ทำหน้าที่แต่งโอเปราเพื่อแสดงที่โรงละครใกล้ๆเมือง Florence และนอกจากนั้นเขายังได้แต่งเพลง maestro di cappella โดยมีความคล้ายคลึงกับเพลง Basilica di Santa Maria Maggiore ที่แต่งไว้ในโรม เมื่อปี ค.ศ.1703


หลังจากที่เขาได้เดินทางไปยังเมือง Venice และ Urbino ในปี ค.ศ.1707 เขาก็ได้กลับไปทำงานด้านดนตรีที่ Naples อีกครั้งในปี ค.ศ.1708 และอยู่ที่นั่นจนถึงปี ค.ศ.1717 โดยที่ Naples เริ่มที่จะเบื่องานของเขาแล้ว ด้วยความที่เขาคิดถึงบ้านเกิดเขาก็ได้แต่งเพลงโอเปราขึ้น ชื่อว่า La Griselda ในปี ค.ศ.1721 เป็นที่รู้จักกันดีในเพลงชั้นสูงในหมู่เพลงโบสถ์ (Church Music) และเขาก็ยังแต่งเพลงประเภทเพลง Mass สำหรับวง Chorus และวง Orchestra โดยได้แต่งเพื่อสดุดีต่อ Saint Cecilia และสำหรับ Cardinal Acquaviva ในปี ค.ศ.1721 ผลงานชิ้นสุดท้ายของเขาเป็นงานชิ้นใหญ่มาก มีชื่อว่า Serenata แต่งเพื่อเฉลิมฉลองในพิธีแต่งงานของเจ้าชายแห่ง Stigliano ในปี ค.ศ.1723 แต่เขาก็ยังแต่งไม่สมบูรณ์โดยเขาเสียชีวิตลงก่อนที่ Naples


ดนตรีของ Scarlatti นั้นเป็นส่วนสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างยุคก่อนยุคบาโรค (Baroque) โดยเป็นเพลงร้องในศตวรรษที่ 17 กับ ดนตรีในใจกลางของ Florence, Venice และ Rome โดยดนตรีของเขาได้ถูกพัฒนาให้ถึงขั้นสูงสุดโดยนักประพันธ์เพลงในยุคคลาสสิคคือ Mozart โดยผลงานของ Scarlatti ที่เป็นโอเปราในช่วงแรกๆนั้นเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก เช่นเรื่อง Gli equivoci nel sembiante ในปีค.ศ.1679, เรื่อง L’honestà negli amori ในปีค.ศ.1680โดยจะรู้จักกันดีในชื่อ Già il sole dal Gange, เรื่อง Il Pompeo .ในปีค.ศ.1683 ที่รู้จักกันดีในชื่อ "O cessate di piagarmi" และเรื่องToglietemi la vita ancor และทั้งหมดนั้นก็เริ่มจืดจางลงเมื่อปี ค.ศ.1685 แต่เพลงของเขาก็ยังคงถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี


ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1697 เขาก็แต่งโอเปราเรื่อง La caduta del Decemviri โดยเขาได้แต่งเนื้อเรื่องเกี่ยวกับทางด้านการว่าความในศาล และก็ยังจะแต่งเรื่องอื่นๆที่สื่อถึงวัฒนธรรมทางสังคมอีกมากมาย ดนตรีของเขาในช่วงปี ค.ศ.1700 ก็เริ่มมีการใช้เครื่องดนตรี Oboes และ Trumpets เป็นจำนวนมาก และ Violins เขาก็มักแต่งให้เล่นพร้อมๆกัน (Unison) ซึ่งผลงานโอเปราชิ้นที่เขาชอบคือชิ้นที่แต่งให้เจ้าชาย Ferdinando de’ Medici โดยเขารู้จักกับเจ้าชายเนื่องจากเป็นเพื่อนที่ติดต่อกันทางจดหมายและหลังจากผลงานชิ้นนั้นเขาก็เริ่มแสดงถึงความสามารถในการประพัน์เพลงขั้นสูงขึ้นไปอีก โดยอาศัยแรงบันดาลใจและสัญชาตญาณ

เพลงของเขาได้รับความนิยมอย่างมาก ภายหลังเพลง Mass ของเขาก็เริ่มจางหายลงไป แต่เขาก็เคยแต่งเพลง Mass ไว้ถึง 200 กว่าชิ้น โดยชิ้นที่ดีที่สุดคือ St Cecilia Mass ที่แต่งขึ้นในปี ค.ศ.1721 ซึ่งผลงานชิ้นนี้จะเป็นส่วนสำคัญในแนวคิดที่อยู่ในเพลงของ Johann Sebastian Bach และ Beethoven ไม่ใช่ว่าดนตรีที่เป็นเพลงร้องของเขาที่ได้รับความนิยมเท่านั้น ดนตรีประเภทบรรเลง (Instrumental Music) ก็เป็นที่น่าสนใจด้วยเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นเพลงที่ฟังแล้วเป็นแบบยุคเก่า แต่ภายนั้นมีอะไรบางอย่างที่แปลกใหม่เมื่อเทียบกับดนตรีในยุคนั้น นับได้ว่าเขาเป็นแบบอย่างที่ดีในการประพันธ์เพลงโอเปรา และผลงานของเขาก็ส่งผลต่อนักดนตรีในปัจจุบันมากมาย

Passacaglia

Passacaglia เป็นสังฆีตลักษณ์ทางดนตรี (Music Form) กำเนิดขึ้นเมื่อช่วงก่อนศตวรรษที่ 17 ในประเทศสเปน (Spain) ความหมายของ Passacaglia ตามพจนานุกรมนั้นหมายถึง "การเต้นรำจังหวะช้าๆชนิดหนึ่งของสเปน" ลักษณะของ Passacaglia จะเป็นเสียงที่ต่ำและทุ้ม โดยมีพื้นฐานคล้ายๆกับ Bass - Ostinato และนิยมเขียนเป็นจังหวะ Triple Metre
คำว่า Passacaglia ถูกเรียกในหลายๆภาษาและเขียนต่างกัน เช่น ภาษาสเปนเรียกว่า Passacalle, ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า Passacaille, ภาษาอิตาเลียนเรียกได้หลายแบบว่า Passacaglia, Passacaglio, Passacagli, Passacaglie เป็นต้น โดยรากศัพท์เดิมนั้นมาจากภาษาสเปน โดยมีคำ 2 คำมาสมาสกัน คือ Pasar แปลว่า การเดิน (to walk) และ calle แปลว่า ถนน (street) รวมเป็น Passacaglia
จุดกำเนิดมาจากการเต้นรำประกอบจังหวะในระหว่างการสลับฉากของการแสดงละคร เป็นการเต้นแบบธรรมชาติไม่ได้พิถีพิถันอะไรมากมาย แต่ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์นั้นกล่าวไว้ว่า ที่จริงแล้ว Passacaglia นั้นมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลีในปี ค.ศ.1606 เป็นจุดเริ่มต้นของดนตรีในอิตาลีในช่วงต้นศตวรรษที่16
Passacaglia นั้นเป็นชื่อที่ถูกแก้ไขในภายหลัง ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1620 โดยนักแต่งเพลงชาวอิเลียน ที่มีชื่อว่า Girolamo Frescobaldi ซึ่งเขาเป็นผู้ที่พัฒนาแนวเสียงประสานเหนือแนวเบส และภายหลังก็มีนักแต่งเพลงใช้รูปแบบของเขาในการแต่งเพลงจวบจนถึงศตวรรษที่ 19 และก็ได้กลายเป็นทคนิคที่เรียกว่ารูปแบบ Ostinato แต่จะอยู่ในรูปแบบที่มั่นคงกว่า และมีแบบฟอร์มคล้ายๆกับ Chaconne ซึ่งได้ทำการพัฒนาโดย Frescobaldi โดยทั้ง 2 แบบคือ Chaconne และ Passacaglia นั้นนักดนตรีสมัยใหม่ๆได้พยายามถกเถียงและหาถึงข้อแตกต่างและจุดเด่นของทั้ง 2 แบบนี้ และนำมาใช้ ซึ่งก็ไม่ได้มีการบันทึกไว้ในยุคก่อนๆว่ามันแตกต่างและมีจุดเด่นที่ต่างกันอย่างไร
แต่การศึกษาก็ยังคงดำเนินต่อไป ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่มาอย่างแน่ชัดของ Chaconne และ Passacaglia แต่ว่าก็มีนักแต่งเพลงที่ให้คำจำกัดความข้อแตกต่างของทั้ง 2 แบบนี้ ผู้นั้นคือ Percy Goetschius กล่าวไว้ว่า Chaconne เป็นการที่ใช้แนว Soprano เล่นประสานควบคู่ไปกับแนวเบส แต่ว่า Passacaglia นั้นเป็นการเล่นวนจังหวะที่เน้นแค่เพียงแนวเบสเท่านั้น แต่นอกจากนั้นก็มีนักแต่งเพลงอีกท่านหนึ่งคือ Clarence Lucas ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนถึงความแตกต่างของทั้ง 2 แบบนี้ และได้มีนักแต่งเพลงนำแนวคิดของเขาไปใช้ได้อย่างชัดเจน สังเกตุได้จากเพลงในช่วง ศตวรรษที่ 17 จนถึงช่วงก่อนศตวรรษที่ 18
ต่อมาจะกล่าวถึงด้านของนักประพันธ์เพลงบ้าง ดนตรีคลาสสิคในประเทศทางด้านฝั่งตะวันตกที่มีชื่อเสียงด้านเพลง Passacaglia คือ Passacaglia and Fugue in C minor, BWV 582 สำหรับ Organ ของ Johann Sebastian Bach และได้นำมาเรียบเรียงเป็นแบบ Orchestra โดย Ottorino Respighi, Louis Couperin และหลานชายของเขา Francois Couperin ก็เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงด้านการแต่งเพลง Passacaglia
Passacaglia นั้นมีนักดนตรีที่แต่งต่อมาอีกมากมายจนถึงศตวรรษที่ 19 ซึ่งถือว่าเป็นแบบแผนที่ได้รับการพัฒนาและเป็นแนวทางที่ดีในการสร้างสรรค์ผลงานเพลงของนักแต่งเพลงรุ่นต่อมา

A Mihthy Fortress Is Our God


A Mighthy Fortress Is Our God เป็นเพลงสวดที่แต่งโดย Martin Luther ทั้งเนื้อร้องและทำนอง เพลงนี้มีชื่อภาษาเยอรมันว่า Ein' feste Burg ist unser Gott แต่งขึ้นในระหว่างปี ค.ศ.1527 - ค.ศ.1529 เป็นเพลงที่โด่งดังมาก เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางและถูกนำไปแปลเป็นอีกหลายภาษา
เพลงนี้เป็นเพลงสวดเกี่ยวกับนิกาย Protestant ซึ่งเรียกกันว่าเป็นเพลงสวดที่นำมาปรับปรุง และถูกนำไปปรับปรุงต่ออีกหลายรูปแบบ เนื่องจากมีผลกระทบต่างๆนาๆ ซึ่งแบบต้นฉบับของทฤษฎีในเพลงนี้ได้ถูกบันทึกไว้โดย John Julian ผลงานเพลงสวดที่เผยแพร่ในช่วงนั้นและเป็นที่นิยม คือผลงานของ Andrew Raucher ในปี ค.ศ.1531 แต่แนวคิดจากผลงานชิ้นนั้นได้รับการสนับสนุนจากผลงานของ Josept KLug ในปีค.ศ.1529 ซึ่งผลงานเหล่านั้นไม่มีสำเนาแล้ว ผลงานทั้งหมดนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากผลงานเพลงสวดของ Hans Weiss Wittenberg ในปี ค.ศ.1528 ซึ่งต้นฉบับก็ได้สูญหายไปตั้งแต่เพลงของ Luther ได้ถูกตีพิมพ์ขึ้น
จากคำจารึกในประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า พระราชา Gustavus Adophus ของสวีเดน ได้ใช้เพลงสวดนี้บรรเลงทุกครั้งก่อนทำการออกรบตลอด 30 ปี เพลงนี้ได้ถูกนำมาแปลเป็นภาษาสวีเดนในปี ค.ศ.1536 แปลโดย Oaus Petri และในช่วงปี ค.ศ.1800 เพลงนี้ได้กลายเป็นเพลงสวดที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในประเทศสวีเดน
เพลงนี้ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรกโดย Myles Coverdale ในปี ค.ศ.1539 โดยชื่อเรื่องเดิมที่รู้จักกันคือ Our God is a defence and towre ได้กลายมาเป็นภาษาอังกฤษว่า God is Our Refuge in Distress, Our strong Defence บันทึกไว้ใน J.C. Jacobi's Psal. Ger. หน้า 83 ในปี ค.ศ.1722 ปัจจุบันเพลงนี้เป็นเพลงที่ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาคริสต์ นิกายคารืทอลิก บันทึกไว้ในหนังสือสวดสากล คือ Catholic Book of Worship และได้ปรับปรุงเป็นอีกหลายแบบฉบับ (Version)
เพลงสวดนี้มีแบบฉบับที่นิยมมาก ซึ่งแปลโดย Frederick H. Hedge แปลไว้ในปี ค.ศ.1853 ในชื่อว่า "A mighty fortress is our God" และอีกแบบฉบับหนึ่งของ Thomas Carlyle ในชื่อว่า A Safe Strong our God is Still ซึ่งเนื้อหาจากหัวเรื่องจะเกี่ยวกับว่า พระเจ้าทรงคุ้มครองพวกเราอยู่เสมอ
ลักษณะทางด้านดนตรีของเพลงสวดนี้จะเป็นดนตรีที่มาจากเพลงโบสถ์ในยุคก่อน ดังในเพลงที่ Edourad Rochrich ได้เขียนไว้ แต่เมโลดี้เพลงนี้ค่อนข้างจะมีจังหวะที่หลากหลายและซับซ้อนกว่าเพลงสวดแบบเดิม นักดนตรีในช่วงศตวรรษที่ 19 ได้แสดงความเห็นกันว่า "เพลงของ Luther นั้นมีลักษณะโดดเด่นทางด้านคำร้อง และด้วยเนื้อร้องที่ Luther เขียนไว้ทำให้เพลงของเขามีชื่อเสียงขึ้นมา" นักดนตรีในยุคนั้นกล่าว และนอกจากนั้นเพลงนี้ก็เป็นเพลงที่ส่งผลให้นักดนตรีในยุคหลังๆนำแนวคิดไปใช้แต่งเพลงได้ เช่น Johann Sebastian Bach ได้ใช้แนวคิดนี้ในการแต่งเพลง Cantata BWV 80 เป็นต้น
ต่อไปจะกล่าวถึงทางด้านประวัติของผุ้แต่ง ผู้ที่แต่งเพลงสวดนี้คือ Martin Luther ดังที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น Martin Luther เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิการยน ค.ศ.1483 และเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1546 (มีอายุ 63 ปี) เนื่องด้วยเหตุการณ์ในยุคนั้น ถือได้ว่าเป็นยุคแห่งความเสื่อมถอยของศาสนา เพราะว่ามีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยทางด้าน Pope (สังฆราช) บางกลุ่ม ได้นำคำสอนมาใช้ในทางที่ผิด โดยอ้างว่าถ้าเกิดอยากจะไถ่ถอนบาปที่ได้ทำไว้นั้น เราก็สามารถใช้เงินซื้อใบล้างบาปได้ ทำให้ Luther รู้สึกคัดค้านเป็นอย่างมาก โดย Luther ก็เป็นนักบวชเหมือนกัน และเป็นนักทฤษฎีและนักปรัชญาอีกด้วย สิ่งที่ Luther สอนโดยใช้หลักการของเขาในยุคนั้นเรียกว่า Luthereans
Luther ได้แปลคัมภีร์ไบเบิ้ลจากภาษาลาติน (Latin) เป็นภาษาเยอรมัน และด้วยหลักการของเขานั้นทำให้พิธรทางศาสนาได้กลายเป็นวัฒนธรรมของชาวเยอรมันในที่สุด และจากการแปลของเขาก็ได้ถูกแปลต่อไปเป็นภาษาอังกฤษบันทึกไว้ในคัมภีร์ที่มีชื่อว่า King James Bible
แต่แนวคิดของเขาและผลงานของเขาในบางเรื่องถูกนำมาวิพากษ์วิจารย์เป็นอย่างมากในหมู่นักศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับเรื่องที่ Luther ได้กล่าวไว้ว่า "บ้านของชาวยิว ควรจะถูกทำลาย" "สุเหร่าทางศาสนาของชาวยิวควรจะโดนเผา" "ทางด้านการคัดค้านและต่อต้านแนวคิดทางเทววิทยา" และด้วยแนวคิดเหล่านี้ทำให้เป็นที่ถกเถียงกันในหมู่ผู้ที่ศึกษาดังที่กล่าวมา
เพลงสวดนี้ Luther ได้แต่งขึ้นระหว่างที่ถูกตามจับ เนื่องด้วยไปต่อต้านการขายใบไถ่ถอนบาปเพราะเขาเชื่อว่าเป็นการนำคำสอนของพระเจ้ามาใช้หากินในทางที่ผิด และเนื่องด้วยระบบในสมัยนั้นมีผลประโยชน์ต่อผุ้นำเบื้องสูง และผู้ที่มีอำนาจทำให้ผู้ที่คิดจะต่อต้านเช่น Luther โดนตามจับตัว แต่โชคดีที่ Luther มีเพื่อนเป็นพ่อค้าที่รวยมาก จึงช่วยให้ Luther ไปอยู่ที่หอคอยเพื่อหลบซ่อนตัว ทำให้เขาได้แต่งเพลงนี้ขึ้นมา โดยมีความหมายว่า พระเจ้าประดุจดั่งป้อมปราการที่คอยคุ้มครองพวกเราอยู่เสมอ
ในช่วงบั้นปลายชีวิต Luther ประสบปัญหาหนักทางด้านความกดดัน และการต่อต้านจากหลายๆฝ่าย อีกทั้งยังประสบปัญหาทางด้านสุขภาพ ทำให้เขาป่วยเป็นโรคต่างๆมากมาย เช่น หูเริ่มไม่ค่อยได้ยินเสียงเพราะแก้วหูอักเสบ เป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ อีกทั้งยังเป็นโรคไต ส่วนโรคอื่นๆก็คงจะเป็นโรคไขข้อ และตาข้างหนึ่งเป็นต้อกระจกอย่างรุนแรง และนอกจากนั้นเขายังโดนกล่าวหาในเรื่องอื้อฉาวทางด้านการชู้สาวอีก ถือว่าเป็นชีวิตที่ต้องด้นรนในบั้นปลาย
Luther ได้เดินทางไปทำการเทศน์ครั้งสุดท้ายที่เมือง Eisleben ซึ่งเป็นเมืองเกิดของเขาและหลังจากนั้น 3 วันเขาก็เสียชีวิตลง
Martin Luther ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญในด้านการแต่งเพลงสวดตามที่ได้กล่าวมาแล้ว และผลงานของเขาหลายชิ้นก็ยังคงถูกบันทึกไว้เป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ โดยถูกบันทึกไว้เป็นภาษาลาติน

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Gioseffo Zarlino

Gioseffo Zarlino เป็นนักทฤษฎีดนตรี และนักประพันธ์ดนตรีแห่งยุคเรเนียสซอง (Renaissance) เกิดเมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1517 และเสียชีวิตลงเมื่อ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1590
Zarlino นับว่าเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาทในด้านการพัฒนาเกี่ยวกับเสียงประสานในดนตรี และเคาเตอร์พอยท์ (counterpoint) ในดนตรี
Zarlino เป็นชาวอิตาเลียนเกิดที่เมือง ช๊อคเกีย (Chioggia) [เมืองในอิตาลี ใกล้ๆกับเมือง เวนิซ (Venice)] Zarlino เรียนดนตรีกับ Franciscans และต่อมาเขาก็ได้ศึกษาด้วยตนเอง
ในปี ค.ศ.1536 (Zarlino) ได้เป็นนักร้องอยู่ในโบสถ์ที่เมืองช๊อคเกีย ระหว่างการเป็นนักร้องก็ได้รับความไว้วางใจให้เป็นคนดูแลโบสถ์ จวบจน ค.ศ.1539 เขาได้เป็นนักเล่นออร์แกนในโบสถ์ ด้วยความศรัทธาในศาสนาเขาได้บวชเป็นนักบวชในปี ค.ศ. 1540
หลังจากนั้น Zarlino ได้สนใจที่จะเรียนการขับร้องเพิ่มเติมจากสถาบันที่มีชื่อเสียงในการสอนศิลปะแขนงต่างๆ เขาเลยเดินทางไปยังเมืองเวนิซในปี ค.ศ.1541 เพื่อเรียนเกี่ยวกับการร้อง แคปเปลลา (cappella) ที่เซนท์มาร์ค (Saint Mark's) โดยเรียนกับ เอเดรียน วิลเลิร์ต (Adrian Willaert)
หลังจากที่ Zarlino ได้ศึกษาจนมีความเชี่ยวชาญ ทำให้ในปี ค.ศ.1565 เขาได้กลายเป็นผู้ที่สอนแต่งเพลง ณ สถาบันแห่งนั้น
Zarlino นับว่าเป็นผู้มีฝีมือทางด้านการเรียน และการสอนมาก เพราะชาวเวนิซ ได้ยกย่องเขาเทียบเท่ากับผู้มีชื่อเสียงทางด้านดนตรีหลายท่าน อาทิเช่น คลาวดิโอ เมอรูโล (Claudio Merulo), จิโลราโม ดิรูตา (Girolamo Diruta), จิโอวานนี่ ครอส (Giovanni Croce) และ วินเซนโซ กาลิเลอิ (Vincenzo Galilei)
หลังจากที่ Zarlino ได้เป็นอาจารย์ในการสอนแต่งเพลง เขาก็มีลูกศิษย์มากมาย นอกจากที่เขาจะสอนแต่งเพลงแล้ว เขาก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการแต่งเพลง โมเต็ท (Motet) ซึ่งเพลงของเขาเป็นที่นิยมอย่างมาก Zarlino คิดค้นวิธีการใหม่ๆขึ้นมาจากแบบแผนเดิมๆ เช่น ระบบตัวเลขของปีทากอรัส เป็นต้น ทำให้เขาสามารถใช้บันไดเสียงและโหมด (mode) ในการแต่งเพลงได้อย่างเชี่ยวชาญ ถึงอย่างไรก็ตาม จุดเด่นของ Zarlino คือ เขาเป็นคนที่เข้าใจดนตรีโดยแท้ ดนตรีที่เขาแต่งออกมานั้น เขาจะคำนึงถึงความเป็นจริงปละสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาเริ่มใช้การ ขนานคู่ห้า และคู่แปด (Parallel fifth & Parallel eighth) ในการเรียบเรียงเสียงประสาน ซึ่งเขามองว่าการขนานดังกล่าวไม่ได้เป็นความสัมพันธ์ของเสียงประสานที่ผิด ทฤษฎีของ Zarlino มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะแนวคิดและทฤษฎีของเขาเป็นเหมือนตัวแทนและเอกลักษณ์ของดนตรีในยุคบาโรค ฟรานเชสโก ฟรานเชสกี้ (Francesco Franceschi) เป็นผู้เรียบเรียงทฤษฎีของ Zarlino มาเขียนเป็นหนังสือ หลังจากที่หนังสือเล่มดังกล่าวได้ถูกตีพิมพ์ ก็ได้ถูกนำไปแปลเป็นภาษาต่างๆหลายภาษา ทำให้แนวคิดและทฤษฎีของ Zarlino ถูกนำไปใช้และพัฒนาจนถึงยุคถัดๆไป จวบจนท้ายสุดของ ศตวรรษที่ 16
เพลงของ Zarlino ได้ถูกนำมาบรรเลงในช่วง ค.ศ.1549 จนถึง ค.ศ.1567 เป็นเพลงโมเต็ท 41 เพลง ส่วนมากเป็นเพลงที่มีเสียงประสาน 5-6 แนว ซึ่งในจำนวนเพลงเหล่านั้นมี 13 เพลงที่เป็นเพลงเกี่ยวกับทางโลก และบทกวีอื่นๆที่ไม่ใช่เพลงในศาสนา ซึ่งก็เป็นเพลงขับร้องเสียงประสาน 5-6 แนวเช่นกัน

Guidonian Hand


Guidonian Hand
ในช่วงยุคกลาง Guidonian Hand เป็นสิ่งที่ช่วยให้นักร้องสามารถเรียนรู้และฝึกฝนทักษะ การร้องโน้ต วิธีนี้เคยถูกใช้โดย Guido of Arezzo นักทฤษฎีในยุคกลาง ซึ่งเป็นผู้เขียนบทความและตำราทางด้านดนตรีหลายๆชิ้น อีกทั้งยังเป็นผู้สอนวิธีการร้องโน้ตให้แก่นักร้องในยุคนั้น วิธีการใช้ฝ่ามือเพื่อช่วยในการร้องโน้ต ได้ถูกบันทึกไว้ก่อนที่ Guido จะค้นพบเรื่อง Semitone โดยวิธีนั้นได้ถูกอธิบายไว้จนกระทั่ง ศตวรรษที่ 12 ซึ่งได้ถูกอธิบายไว้โดย Sigebertus Gemblacensis ซึ่ง Guido ได้นำวิธีเหล่านั้นมาเป็นเครื่องมือในการสอนเรื่อง Hexachord
Guidonian Hand เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับไอเดียใหม่ของ Guido เกี่ยวกับการศึกษาดนตรี รวมทั้งการใช้ Hexachord และเป็นครั้งแรกที่รู้จักในการใช้ Solfege
ไอเดียหลักๆของ Guidonian Hand นั้น เราเริ่มจากลองแบมือซ้ายออก แล้วนับตรงข้อของหัวแม่โป้งเป็นตัว G (Gamma หรือ Gamut) ตรงข้อที่ 2 ของิน้วโป้งเป็นตัว A แล้วตรงจมูกมือเป็นตัว B แล้วไล่ตรงไปฝ่ามือตรงโคนนิ้วชี้ เรียงไปนิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย จะเรียงเป็น C D E F ตามลำดับ แล้วนับขึ้นมาบนข้อที่ 2 ของนิ้วก้อยแล้วนับมา ข้อที่ 1 ของนิ้วก้อย วนซ้ายไปข้อแรกของนิ้วกลาง มานิ้วชี้ ลงมาที่ข้อที่ 2 ของนิ้วชี้ แล้วมาข้อล่างสุดของนิ้วชี้ วนต่อมาโคนนิ้วกลาง นิ้วนาง แล้ววนขึ้นไปบนข้อที่ 2 ของนิ้วนาง แล้วก็เลื่อนไปจุดสุดท้ายตรงข้อที่ 2 ของนิ้วกลาง ซึ่งเมื่องเรียงทั้งหมดแล้วจะได้โน้ตตามนี้ คือ Gamma (G) A B C D E F G a b c d e f g aa bb cc dd (อักษรพิมพ์ใหญ่คือ Octave แรก แล้วอักษรพิมพ์เล็กคือ Octave ที่สูงขึ้นไป สุดท้ายที่เป็นอักษรพิมพ์เล็กติดกัน 2 ตัว คือสูงขึ้นไปอีก 1 Octave)
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้คนสมัยก่อนสามารถร้องโน้ตได้ถูกต้อง ถือเป็นเครื่องมือที่ทำให้เกิดหลักการอะไรใหม่ๆขึ้นมาได้

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Byzantine Chant

The Byzantine Rite หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า The Rite of Constantinople หรือ Constantinopolitan Rite มีเพลงสวดที่เรียกว่า Byzantine Chant หมายถึงเพลงสวดในพิธีทางศาสนาของชาวคริสเตียนโรมันทางฝั่งตะวันออก เกิดขึ้นในช่วงที่ก่อตั้งกรุง Constantinople ในช่วงหลังศตวรรษที่ 4

เพลงสวด Byzantine Rite นั้นได้รับการพัฒนามาจากเพลงสวดทางศาสนาคริสเตียนฝั่งตะวันออก คือ Alezandrian Rite ในอียิป (Egypt) และ Antiochene Rite ในซีเรีย (Syria) ซึ่งเพลงสวดทั้ง 2 แบบนี้ใช้ร้องประกอบพิธีทางศาสนาในโบสถ์ ซึ่งราชาคณะในโบสถ์ต่างก็ช่วยกันพัฒนาเพลงสวดให้ดีขึ้น เนื่องจากกรุง Constantinople ในช่วงนั้นเป็นยุครุ่งเรือง และระบบต่างๆทางศาสนานั้นก็ได้รับการพัฒนาเช่นการแต่งตั้งราชาคณะ รวมไปถึงพัฒนาพิธีกรรมทางศานาให้ดูดีเป็นมาตรฐานมากยิ่งขึ้น

จนกระทั่งอาณาจักร Byzantine ได้ล่มสลายลง โดยการเข้ายึดอำนาจของชาว Ottoman ในปี ค.ศ.1453 แต่ถึงอย่างไร เพลงสวดทางศาสนาในช่วงนั้นก็ยังคงเป็นที่รู้จักของชาว Eastern Ortodox Christian โดยภาษาเดิมนั้นใช้ภาษา Greek และได้ถูกแปลไปเป็นหลายๆภาษา อาทิเช่น Syriac, Coptic, Arabic, Armenian, Georgian, Church Slavonic และภาษาอื่นๆอีกมากมาย และได้ถูกดัดแปลงไปบ้างจากอิทธิพลของสถานที่ต่างๆ เนื่องจากเพลงสวดนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกไปหลายแห่ง เช่น ทางตะวันตกของประเทศสเปน, ทางตะวันออกเฉียงเหนือ และทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี นอกจากนั้นยังมีอยู่ทั่วไปทางตะวันออกเฉียงเหนือในประเทศแอฟริกา รวมไปถึงกรีซ (Greece) และปาเลสไตน์ (Palestine) แม้กระทั่งทวีปทางตะวันออกเช่นรัสเซีย

เพลงสวดนี้ก็ยังคงเป็นพิธีกรรมที่สำคัญของชาวคริสเตียนโรมันตะวันออกมานานถึงประมาณ 1500 ปี